หลังจากที่เราทำความรู้จักกับ ไวรัสตับอักเสบ บี กันไปแล้ว เรามาต่อกันเรื่องการดูแลตนเองและการรักษาในผู้ที่ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ บี ชนิดเรื้อรัง ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ
1. กรณีที่ตรวจพบเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg) มากกว่า 6 เดือน แต่ไม่มีการ อักเสบของตับ การดูแลจะเหมือนกับการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ บี ชนิดเฉียบพลัน แต่อาจจะต้องตรวจติดตามการเปลี่ยนแปลงของตับ (AST, ALT) ทุก 3-6 เดือน เพื่อดูว่ามีการทำลายเซลล์ตับเพิ่มขึ้นหรือไม่
2.กรณีที่ตรวจพบเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg) มากกว่า 6 เดือน และมีข้อบ่งชี้ต่าง ๆ ดังนี้
– ปริมาณเชื้อ (HBV DNA) มากกว่าเท่ากับ 2,000 IU/ml
– ไม่มีโรคอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุหลักของตับอักเสบ
– ระดับเอนไซม์ตับ (ALT) มากกว่าหรือเท่ากับ 2 เท่าของคนปกติ อย่างน้อย 2 ครั้ง ในระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป
– ตรวจพบว่ามีพังผืดในตับตั้งแต่ระดับปานกลางถึงมาก เทียบเท่ากับ Fibrosis stage Metavir มากกว่า 2
– มีลักษณะอาการทางคลินิกที่บ่งชี้ว่ามีตับแข็งเนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี
ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ดังกล่าวจึงควรได้รับการรักษา ซึ่งยาที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- ยาฉีดกลุ่มอินเตอร์เฟอรอน ออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ไปทำลายเชื้อไวรัสเอง ซึ่งผู้ป่วยจะมีโอกาสหาย 30-40% เมื่อทำการรักษาด้วยวิธีนี้ครบเป็นเวลา 1 ปี แต่ยากลุ่มนี้มีข้อเสียคือ ราคาแพงและมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น มีไข้ หนาวสั่น หัวใจเต้นเร็ว ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลา 1-2 ชั่วโมงหลังฉีดยา และดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผิวหนังบริเวณที่ฉีดยาบวมแดงและอาจเกิดเนื้อตาย ผมร่วง การมองเห็นและการได้ยินผิดปกติ ซึมเศร้า เป็นต้น นอกจากนี้ยายังมีผลไปกดการทำงานของไขกระดูก ทำให้เกิดภาวะซีด ติดเชื้อและเลือดออกง่าย หากใครประสงค์ที่จะใช้วิธีนี้ในการรักษา ควรอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมของแพทย์
- ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้การอักเสบของตับลดลง ยากลุ่มนี้จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาฉีดกลุ่มอินเตอร์เฟอรอน ดังนั้นโอกาสที่จะหายก็มีน้อยกว่าและต้องทานยาไปตลอดชีวิต หากหยุดยาเมื่อไหร่ ไวรัสตับอักเสบ บี ก็จะกลับมาเมื่อนั้น
ดังนั้นวัตถุประสงค์ของการใช้ยาในการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี จึงไม่ได้ทำให้หายจากโรคได้ 100% แต่เป็นเพียงการรักษาเพื่อลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ลดการอักเสบของตับ เพื่อป้องกันไม่ให้ตับอักเสบเรื้อรัง จนเกิดภาวะตับแข็ง มะเร็งตับ และตับวายในที่สุด
แม้ว่าไวรัสตับอักเสบ บี จะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตับได้ แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนในกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของเลือดหรือผู้ที่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อและ สำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ทุกราย ควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำข้างต้น ตรวจติดตามการอักเสบของตับทุก 3-6 เดือน และตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับหรืออัลตราซาวน์ทุกปี เพื่อป้องกันผลร้ายแรงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในภายหลัง
#คลินิก#แลบ#ตรวจ#เลือด#ปัสสาวะ#ร่างกาย#สุขภาพ#ประจำปี#ใบสั่ง#แพทย์#ก่อนเข้างาน#สมุทรสาคร#มหาชัย#ทีแอลซี#เฮลท์แลบ#ประจวบคีรีขันธ์#หัวหิน#หัวนา