หากพูดถึง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ได้ยินชื่อบ่อย ๆ หลายคนคงนึกถึงโรค หนองใน กันใช่ไหมคะ
แต่รู้หรือไม่ว่า ความจริงแล้วโรค หนองใน มี 2 ประเภท คือ โรคหนองในแท้ และ หนองในเทียม โรคหนองในเป็นโรคที่ติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน และสามารถเกิดได้ทั้งเพศหญิงและชาย แล้วโรคหนองในแท้และหนองในเทียมต่างกันอย่างไรล่ะ ? วันนี้เราจะมาทำความรู้จักถึงความแตกต่างของทั้ง 2 โรคนี้กันนะคะ
ถึงแม้โรคหนองในแท้และหนองในเทียม เป็นโรคที่มีอาการแสดงคล้ายคลึงกันหรืออาจจะเกิดร่วมกันได้ แต่มีเชื้อก่อโรคที่แตกต่างกัน โดยโรคหนองในแท้มีเชื้อก่อโรค คือ Neisseria gonorrhea ส่วนโรคหนองในเทียมมีเชื้อก่อโรคที่พบบ่อย คือ Chlamydia trachomatis ซึ่งพบมากถึง ร้อยละ ส่วนเชื้ออื่น ๆ เช่น Ureaplasma urealyticum, Trichomonas vaginalis
การแยกโรคหนองในแท้และหนองในเทียม อาจพิจารณาจากอาการแสดงเป็นหลักโดยเฉพาะลักษณะของหนองโดยโรคหนองในแท้จะมีหนองลักษณะขุ่น ส่วนหนองในเทียมส่วนมากจะมีหนองลักษณะใส แต่พบว่าในโรคหนองในเทียม สามารถพบได้ทั้งหนองลักษณะใสหรือขุ่นได้เช่นกันค่ะ เริ่มยากแล้ว ! ยังไม่พอ โรคทั้งสองยังพบอุบัติการณ์การ การเกิดร่วมกันได้มากอีกด้วย จึงยากในการใช้อาการแสดงทางคลินิกในการแยก จำเป็นต้องใช้การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เพื่อความแม่นยำมากขึ้น
อาการของหนองในแท้ ในผู้ชายจะมีปัสสาวะแสบขัด มีหนองไหลจากท่อปัสสาวะ ในบางรายมีอาการแทรกซ้อน เช่น เป็นฝีที่อวัยวะเพศ หรืออัณฑะอักเสบ ส่วนผู้หญิง ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่อาจพบตกขาวผิดปกติไม่คัน และมักตรวจพบปากมดลูกอักเสบ มีหนองที่ปากมดลูกร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการของโรค หนองใน แท้
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้น ด้วยการป้ายหนองมาย้อมสี ด้วยวิธี Gram stain จะพบ gram-negative intracellular ในกรณีที่มีเชื้อ นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาเชื้อด้วยหลักการ PCR ซึ่งมีความไวในการตรวจมากกว่ามาก แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน
- การตรวจเพื่อยืนยันผลด้วยการเพาะเลี้ยงเชื้อ หรือ Culture กรณีที่ตรวจพบ Neisseria gonorrhoeae จะมีการเจริญเติบโตของเชื้อให้เห็นชัดเจน ซึ่งวิธีนี้ความแม่นยำสูงแต่ใช้เวลาในการตรวจเพาะเชื้อนาน 2-3 วัน
อาการของหนองในเทียม ในผู้ชายจะมีอาการปัสสาวะแสบขัด อาจมีมูกใส หรือมูกขุ่น คันที่ท่อปัสสาวะ ส่วนในผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ส่วนน้อยอาจมีตกขาว แต่มักตรวจพบปากมดลูกอักเสบร่วมด้วย
การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการของโรค หนองใน เทียม
- ตรวจพบ urethral Gram stain พบ PMN มากกว่าหรือเท่ากับ≥ 5 cells/oil field หรือ
- ตรวจพบ mucopurulent discharge ที่ cervix ในผู้หญิงโดยไม่พบ Gram negative intracellular diplococci จาก cervical Gram stain หรือ
- Chlamydial test positive
- การตรวจด้วยหลักการ PCR ที่มีความไวในการตรวจสูงมาก แม้มีปริมาณเชื้อน้อยมาก ก็สามารถตรวจพบได้
ดังนั้นจากข้อมูลในบทความนี้จะเห็นว่า อาการของโรคหนองในแท้และหนองในเทียมนั้นคล้ายกันมากค่ะ แต่หนองในทั้ง 2 แบบมีวิธีการรักษาต่างกัน ยาปฏิชีวนะที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น หากมีอาการของโรคหนองในชนิดใดก็ตามก็ไม่ควรซื้อยากินเอง ควรได้รับการตรวจยืนยัน และวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อจะได้รับการรักษาและใช้ยาได้ถูกโรค และป้องกันโรคแทรกซ้อนและอันตรายจากการใช้ยาผิดที่จะตามมาอีกด้วยนะคะ