ใกล้วันวาเลนไทน์แล้ว โรคเอดส์ ยังครองสถิติสูงสุดในบรรดาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และนับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น กลุ่มชายรักชาย ที่น่าวิตก คือ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่พบในกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่าผู้ติดเชื้อในอดีต ที่สำคัญ ถ้ามีคนใกล้ตัวเป็นโรคเอดส์จะช่วยอย่างไรดี
โรคเอดส์
โรคเอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือกขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรคทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้การติดเชื้อโรคได้ฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรคในปอด หรือต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา โรคผิวหนังบางชนิด หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตมักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเอดส์มีการตรวจพบทั่วโลก และประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ อย่างน้อย 25 ล้านคน ตั้งแต่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) นับเป็นโรคที่มีอันตรายสูงโรคหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ในปี พ.ศ. 2548 ประมาณการว่ามีผู้ติดเอดส์ประมาณ 3.1 ล้านคน (ระหว่าง 2.8 – 3.6 ล้าน) ซึ่ง 570,000 คนของผู้ป่วยเอดส์เป็นเด็ก (UNAIDS, 2005)
สาเหตุของการเกิด โรคเอดส์
- การร่วมเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ได้แก่ การมีแผลเปิด และจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา ประมาณร้อยละ 84 ของผู้ป่วยเอดส์ ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
- การรับเชื้อทางเลือด
- ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติด และหากคนกลุ่มนี้ติดเชื้อ ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ ทางเพศสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง
- รับเลือดในขณะผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในปัจจุบันเลือดที่ได้รับบริจาคทุกขวด ต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อเอดส์ และจะปลอดภัยเกือบ 100%
3. ทารก ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ หากตั้งครรภ์ และไม่ได้รับการดูแลอย่างดี เชื้อเอช ไอ วี จะแพร่ไปยังลูกได้ ในอัตราร้อยละ 30 จากกรณีเกิดจากแม่ติดเชื้อ จึงมีโอกาสที่จะรับเชื้อเอช ไอ วี จากแม่ได้
อาการของ โรคเอดส์
คนที่สัมผัสกับโรคเอดส์หรือคนที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อเอดส์เสมอไปขึ้นกับจำนวนครั้งที่สัมผัสจำนวนและความดุร้ายของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกายและภาวะภูมิต้านทานของร่างกายถ้ามีการติดเชื้ออาการที่เกิดขึ้นมีได้หลายรูปแบบหรือหลายระยะตามการดำเนินของโรค
ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
ภายใน2-3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขนขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลยเพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่ามีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวกซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้วร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์เรียกว่าแอนติบอดีย์(antibody)เป็นเครื่องแสดงว่าเคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้วแต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัวและสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน6เดือนโดยในระหว่างนั้นก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาและห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้นผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด1-2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง(รูปที่ 2) ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบมีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้
ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์
ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้วผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆและเป็นมะเร็งบางชนิดเช่นแคโปซี่ซาร์โคมา(Kaposi’ssarcoma)และมะเร็ง
ปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึงการติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำไม่ก่อโรคในคนปกติแต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลงเช่นจากการเป็นมะเร็งหรือจากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือเชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้(ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง(รูปที่ 6) ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม(รูปที่ 7) บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้นอาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วยโดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5-6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน2-4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้10 – 20 ปีและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้
สำหรับผู้ที่สงสัยว่าอาจจะติดเชื้อ HIV ในระยะที่เริ่มมีอาการบ้างแล้ว จะพบฝ้าขาวที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม และเพดานปาก เนื่องจากเป็นเชื้อราในปาก หรือมีน้ำหนักลดผิดปกติ ท้องเสียเรื้อรัง ไข้ไม่ทราบสาเหตุ ต่อมน้ำเหลืองโต มีตุ่มคันจำนวนมากคล้ายกับตุ่มที่เกิดจากการเกาหลังถูกยุงกัดที่บริเวณแขนขา ถ้ามีอาการเหล่านี้ควรมาปรึกษาแพทย์ การที่จะรู้ว่า ติดเชื้อ HIV หรือไม่นั้น ต้องมีการตรวจเลือด ซึ่งผู้ที่มาพบแพทย์ควรได้รับการให้คำแนะนำถึงผลดีและผลเสียของการตรวจรวมทั้งผลที่จะเกิดขึ้นจากการตรวจ โดยทั่วไปถ้าตรวจพบว่าผู้นั้นติดเชื้อ HIV จากผลการตรวจเลือดแล้ว แพทย์จะให้ตรวจเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า CD4 ดูว่า ภูมิต้านทานของร่างกายอยู่ในระดับใด เพื่อจะได้วางแผนการรักษาที่ถูกต้อง เหมาะสมต่อไป
• ระดับภูมิต้านทานยังดีอยู่ หมายถึง มีเม็ดเลือดขาว CD4 มากกว่า 350 เซลล์ต่อ ลบ.มม.แพทย์จะแนะนำให้ผู้ติดเชื้อปฏิบัติตัวตามปกติ หลีกเลี่ยงการรับเชื้อเพิ่ม เช่น ไปมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยาง หรือใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกับผู้อื่น ส่วนเรื่องอาหารและน้ำดื่มจะต้องสะอาด ไม่ควรรับประทานอาหารที่สุกๆ ดิบๆ เช่น ไข่ดาวไม่สุก หรือตอกไข่ใส่โจ๊ก หรือเครื่องดื่มบางชนิด ถ้าจะรับประทานผักสดผลไม้ ควรล้างให้สะอาด ผลไม้ควรปอกเปลือกทุกครั้ง
• ระดับภูมิต้านทานต่ำ หมายถึงมีเม็ดเลือดขาว CD4 เหลือน้อยกว่า 350 เซลล์ต่อ ลบ.มม. แพทย์จะแนะนำผู้ป่วยก่อนตัดสินใจให้ยาต้านไวรัส HIV (เดิมพิจารณาเริ่มยาต้าน HIV เมื่อเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.) ถ้าผู้ติดเชื้อเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส หรือมีระดับเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อ ลบ.มม.จะถือว่าผู้ติดเชื้อนั้นเข้าสู่ระยะที่เป็นโรคเอดส์แล้ว
ในปัจจุบันมียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพดี ราคาถูก สามารถรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้ตามสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือสิทธิประกันสังคม ถ้าเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อ ลบ.มม.แพทย์จะให้ยาป้องกันการติดเชื้อจากโรคฉวยโอกาสด้วย เช่น โรคปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis (PCP) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบมากในผู้ป่วยเอดส์เป็นอันดับ 2 รองจากวัณโรค
ปัญหาที่พบบ่อยหลังจากผู้ป่วยรับประทานยาต้านไวรัสไปสักระยะหนึ่ง คือ ผู้ป่วยบางรายอาจจะหยุดยาเอง เนื่องจากเห็นว่าอาการดีขึ้น หรือผู้ป่วยย้ายที่อยู่ ซึ่งผลเสียของการหยุดยาอาจทำให้เชื้อที่อยู่ในตัวเกิดดื้อยา เมื่อกลับไปรับประทานยาเดิมอาจไม่ได้ผล ทำให้การรักษาต่อไปยุ่งยากซับซ้อนขึ้น อีกทั้งยากลุ่มอื่นๆ ที่จะใช้ต่อไป นอกจากมีผลข้างเคียงมากขึ้นแล้ว ราคายายังแพงกว่าเดิม แต่ประสิทธิภาพการรักษาอาจลดลง ปัจจุบันประมาณว่าผู้ป่วยเกือบหนึ่งแสนคน ที่เกิดเชื้อดื้อยาขึ้นหลังได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่พบบ่อย คือ ผู้ป่วยรับประทานสมุนไพรบางอย่าง หรือยาที่ไม่รู้สรรพคุณ ซึ่งอาจทำให้เกิดตับอักเสบ หรือทำปฏิกิริยากับยาต้านไวรัสได้
แม้ว่าโรคเอดส์จะยังไม่สามารถรักษาหายขาดได้ก็จริง หากแต่การรักษาจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งด้านการป้องกันภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อซ้ำเติม ตลอดจนป้องกันการแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นอีก ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตลอดชีวิต
ขอขอบคุณบทความดีดี ความรู้เหล่านี้จากผศ.นพ.ถนอมศักดิ์ อเนกธนานนท์ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
สนใจการตรวจสุขภาพสอบถามได้ที่ healthlabclinic