โรค กล้ามเนื้ออ่อนแรง ก่อนจะพูดกันเรามารู้จักการทำงานของกล้ามเนื้อกันคร่าวๆก่อนนะคะ การทำงานของกล้ามเนื้อ จะเริ่มต้นจากเซลล์สมองสั่งการทำงานไปยังเส้นประสาทโดยการหลั่งสารเคมี เมื่อเส้นประสาทได้รับสารเคมีก็จะมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปยังกล้ามเนื้อ แต่เส้นประสาทไม่ได้ติดต่อกับกล้ามเนื้อโดยตรง แต่จะมีช่องเล็กๆที่เรียกว่า Neuromuscular junction. ซึ่งเซลล์ของปลายประสาทจะหลั่งสารเคมี ที่เรียกว่า Acetylcholine สารเคมีจะไปออกฤทธิ์ที่ receptor บนเซลล์กล้ามเนื้อทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหดตก เกิดการทำงานของกล้ามเนื้อ ดังรูปค่ะ

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Myasthenia Gravis (MG)
เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนัก เชื่อว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีผลต่อกล้ามเนื้อ ภาวะความผิดปกติของต่อมธัยมัสและยังสัมพันธ์กับโรคซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ผิดปกติอีกหลายชนิด เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อที่สามารถควบคุมได้ เช่น กล้ามเนื้อแขน ขา หน้าผาก หนังตา เกิดมีอาการอ่อนแรง ซึ่งการอ่อนแรงนี้จะเกิดขึ้นเป็นพักๆ อาการมากน้อยขึ้นอยู่กับการใช้กล้ามเนื้อนั้นๆ ดังนั้นจึงพบว่าผู้ที่เป็นโรคจะมีอาการในช่วงสาย ๆ จนถึงบ่าย จนได้หยุดพักอาการจะดีขึ้น ส่วนสาเหตุมาจากร่างกายเราสร้างภูมิคุ้มกันทำลาย receptor บนกล้ามเนื้อ ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อไม่ทำงานแม้ว่าจะมีการหลั่งสารเคมีตามปกติ ภูมิคุ้มกันจะเกิดเมื่อร่างกายได้รับสารแปลกปลอม เช่น เชื้อแบคทีเรีย แต่สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ร่างกายสร้างภูมิต่อต้าน receptor ตัวเองเราเรียก โรค หรือ ภาวะ autoimmune disease
อุบัติการณ์จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในช่วงอายุน้อยกว่า 40 ปี แต่ในช่วงอายุมากกว่า 50 ปีจะพบในผู้ชายมากกว่า
อาการของโรค
- หนังตาตก อาจเกิดข้างเดียวหรือสองข้าง

- ตามัว มองเห็นภาพซ้อนจากกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
- พูดไม่ชัดหรือพูดแล้วเหมือนเสียงขึ้นจมูก
- เคี้ยว กลืนอาหารลำบาก
- กล้ามเนื้อ แขน ขา อ่อนแรงง่าย
- หายใจลำบากในรายที่เป็นมากขึ้น อาจลุกลามไปยังกล้ามเนื้อกระบังลมซึ่งควบคุมการหายใจทำให้เกิดการหายใจล้มเหลว บางครั้งอาจเกิดการสำลักอาหารได้
ลักษณะการดำเนินของโรค
ลักษณะการดำเนินโรคจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละรายซึ่งโดยส่วนใหญ่มักจะค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ของการดำเนินโรคในช่วงแรกแต่บางครั้งอาการของโรคจะเป็นมากขึ้นจากบางภาวะเช่น ภาวะการติดเชื้อโดยเฉพาะการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ การได้รับยาบางชนิดซึ่งมีผลต่อการทำงานของตัวรับสารสื่อประสาทของกล้ามเนื้อภาวะเครียดและพักผ่อนน้อย
การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ
- การเจาะเลือดหา Acetylcholine Receptor Antibody ซึ่งผู้ป่วยร้อยละ 85 จะพบภูมิดังกล่าว
- ผู้ป่วยร้อยละ40-70ของผู้ป่วยกลุ่มที่ให้ผลลบกลุ่มแรกจะให้ผลบวกต่อการทดสอบนี้ Anti-MuSK Antibody testing
- Tensilon® test เป็นการฉีดสารเคมีเข้าเส้นเลือดดำ จะพบว่ากล้ามเนื้อจะมีแรงดีขึ้นทันที
- Electromyography – (EMG)เป็นการทดสอบคลื่นไฟฟ้าของกล้ามเนื้อจะพบลักษณะเฉพาะของโรค
- Single Fiber EMG การทดสอบไฟฟ้ากล้ามเนื้อซึ่งจะให้ลักษณะเฉพาะ
การรักษา
การได้รับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของโรคก็จะช่วยลดภาวะเสี่ยงของโรคที่อาจลุกลามมากขึ้นได้ ซึ่งประกอบด้วยการตรวจกระแสไฟฟ้าประสาทและกล้ามเนื้อเพื่อดูการทำงานของกล้ามเนื้อหลังจากที่ถูกกระตุ้นซ้ำๆ คล้ายกับการให้ผู้ป่วยออกแรงทำงานมาก ๆ การตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อดูภาวะการทำงานของต่อมธัยมัสที่ผิดปกตินอกจากนี้ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องมีการส่งตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการเพื่อดูภาวะโรคภูมิคุ้มกันบางชนิดที่สัมพันธ์กับภาวะโรค MG ด้วย
- การรักษาด้วยการใช้ยา มีทั้งลดการทำลาย Acetylcholine กดการสร้าง และต่อต้านภูมิคุ้มกัน
- การผ่าตัดต่อม thymus เพราะเชื่อว่าต่อมนี้มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตนเอง พบว่าผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง myasthenia gravis จะมีเนื้องอกที่ต่อม thymus

- Plasmapheresis เป็นการถ่ายเลือดหรือที่เรียกว่าล้างเลือดเอาภูมิออกจากร่างกาย กล้ามเนื้อจะมีแรงขึ้นทันที มักจะใช้กรณีที่มีอาการกำเริบแบบเป็นหนัก
MG เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดแต่สามารถควบคุมอาการของโรคให้สงบและสามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้การรักษาจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละรายตามอายุความรุนแรงและอาการแสดงของโรคซึ่งในปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรค MG นั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและมาติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
สนใจการตรวจสุขภาพสอบถามได้ที่ healthlabclinic หรือ มหาชัยทีแแอลซี