ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร?
บางคนอาจเคยได้ยินแต่ ไวรัสตับอักเสบบี เพราะว่าไปสมัครงานทีไร ที่ทำงานก็มักจะให้เราตรวจหาเชื้อตัวนี้อยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่ว่านอกจาก ไวรัสตับอักเสบบี แล้วนั้น ยังมี ไวรัสตับอักเสบซี ที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะอะไรน่ะหรอ? ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักไวรัสตับอักเสบกันก่อนนะคะ
ไวรัสตับอักเสบซี มีด้วยกันทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 1-6 การแบ่งสายพันธุ์ไม่เกี่ยวกับความรุนแรงแต่เกี่ยวกับการรักษาซึ่งจะใช้สูตรยา ขนาด และระยะเวลาในการรักษาต่างกันออกไป โดยสายพันธุ์ที่รักษาได้ง่ายคือสายพันธุ์ที่2 และ 3
การติดต่อจากคนสู่คนจากทางเลือด การมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การเจาะหูหรือสักในร้านที่ไม่ได้มาตรฐานไม่มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออย่างถูกหลักอนามัย และการถ่ายทอดจากแม่ไปสู่ลูก
ส่วนการใช้ของใช้ร่วมกัน รับประทานอาการร่วมกัน การไอ จาม จูบ กอด หรือการสัมผัสร่างกายไม่สามารถแพร่เชื้อติดต่อกันได้
เมื่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเข้าไปในร่างกาย จะเกิดการแบ่งตัวและอาศัยอยู่ในตับ โดยในระยะแรกจะทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยทำให้ผู้ได้ติดเชื้อไม่รู้ว่ามีเชื้อเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว ซึ่งอาการที่พบได้อาจมีอาการคล้ายเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลืองได้ ผู้ติดเชื้อประมาณ 15% สามารถหายได้เอง โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี แต่ 85%ของผู้ป่วยจะเกิดการติดเชื้อเรื้อรังแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่การดำเนินของโรคก็จะค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ผ่านไปประมาณ 10-30 ปี จะพัฒนาไปสู่ระยะตับแข็ง และในระยะท้ายของโรคตับแข็งจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับและเสียชีวิตในที่สุด
การตรวจหา ไวรัสตับอักเสบซี นั้นสามารถทำได้ โดยการตรวจเลือด
- ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (antibody-HCV) และ
- ตรวจหาปริมาณของเชื้อไวรัสตับอักเสบซี (HCV-RNA) เพื่อดูระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ
นอกจากนี้ ก่อนเริ่มให้การรักษาต้องตรวจหาสายพันธุ์ของเชื้อเพื่อใช้วางแผนการรักษาให้เหมาะสม รวมทั้งประเมินระดับการทำงานของตับ ความรุนแรงของอาการอักเสบและการเกิดพังผืดที่ตับเพื่อตรวจดูความรุนแรงของโรค โดยวัดปริมาณเอมไซม์ตับ เช่น AST, ALT, METAVIR score เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ถือเป็นภัยเงียบอย่างหนึ่ง เป็นเชื้อที่ผู้คนมักไม่ค่อยตระหนักถึง ผู้ป่วยจึงมาพบแพทย์ด้วยอาการในระยะท้ายของโรคแล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพราะโรคตับแข็งและมะเร็งตับจำนวนมาก และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อตัวนี้ได้ ซึ่งต่างจากไวรัสตับอักเสบบีที่มีวัคซีนแล้ว แต่ถึงอย่างไรหากตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ไว ก็ยังมีหนทางในการรักษา อย่าปล่อยให้เชื้อลุกลามจนก่อโรครุนแรง เพราะนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาแพงแล้วยังใช้เวลารักษานานอีกแบบนี้ เป็นใครก็คงจะเครียดนะคะ ดังนั้นหมั่นตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำทุกๆปีเพื่อชีวิตที่ดีในวันข้างหน้าค่ะ
รู้ก่อน รักษาทันนะคะ..