fbpx
เฮลท์แลบ คลินิกเทคนิคการแพทย์ บริการตรวจสุขภาพ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ
Follow us :
ไวรัสตับอักเสบบี

สวัสดีครับ ผมชื่อไวรัสตับอักเสบบี

สวัสดีครับ ผมชื่อ ” ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B virus) “ ผมเป็นไวรัสที่สำคัญและพบมากที่สุดที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ตับ ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจจะทำให้เกิดพังผืดที่ตับจนกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับตับได้ ปัจจุบันพบว่าในประเทศไทยมีการระบาดของไวรัสตับอักเสบบีสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อกันอย่างไร?

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถติดต่อได้ทาง เลือด เพศสัมพันธ์ หรือ สารคัดหลั่งอื่น ๆ ของร่างกาย

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย
  • การใช้เข็มฉีดยา หรือการใช้เข็มเจาะและสักส่วนต่างๆ ของร่างกายร่วมกัน
  • การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน หรือกรรไกรตัดเล็บร่วมกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลได้
  • การรับเลือดจากคนที่มีเชื้อ ซึ่งพบได้น้อยมากเพราะปัจจุบันได้มีการตรวจคัดกรองเชื้อต่าง ๆ จากเลือดของผู้บริจาคก่อนนำไปใช้
  • การสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่าง ๆ ผ่านทางบาดแผล
  • การติดเชื้อขณะคลอดจากมารดาที่มีเชื้อ ซึ่งทารกมีโอกาสสูงถึง 90 % ที่จะได้รับเชื้อ แต่ปัจจุบันจะมีการฉีดยาภูมิคุ้มกัน HBIG (Hepatitis B immunoglobulin) รวมกับวัคซันไวรัสตับอักเสบบีให้ทารกที่คลอดจากมารดาที่มีเชื้อภายใน 12 ชม.หลังคลอด ซึ่งจะช่วยป้องกันไวรัสตับอักเสบบีได้

อาการเป็นอย่างไร?

หลังได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 เดือน บางรายอาจจะไม่มีอาการ ขณะที่บางรายอาจจะมีอาการเช่น มีไข้ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์จะเริ่มจุกแน่นบริเวณใต้ชายโครงด้านขวาซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ ปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้ม ตัวเหลืองตาเหลืองหรือที่เรียกว่าดีซ่าน อาการต่าง ๆ จะดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นร่างกายจะค่อยๆ กำจัดเชื้อออกไปจนหมด และสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีต่อไป

” กว่า 90 % ผู้ป่วยสามารถหายได้เองภายในระยะเวลา 10 สัปดาห์ “

มีส่วนน้อยไม่ถึง 10 % เท่านั้นที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อออกไปได้เองจนทำให้เป็นเรื้อรัง (ติดเชื้อนานกว่า 6 เดือน) หากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลร่างกายให้ดีก็มีโอกาสที่จะทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้น เริ่มมีพังผืดที่ตับจนเป็นตับแข็ง หรืออาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด การติดเชื้อแบบเรื้อรังมักพบมากในทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่กำเนิด หรือเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี

บางรายอาจตรวจพบเชื้อแต่ไม่มีอาการ หรือมีค่าการทำงานของตับ (Liver function test) ปกติ เรียกว่าเป็นพาหะ ซึ่งยังสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้

การวินิจฉัยและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจเลือดหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเบื้องต้น ได้แก่
  • HBs Ag คือโปรตีนจากผิวหรือเปลือกของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี บ่งบอกว่ามีการติดเชื้ออยู่หรือไม่?
  • Anti-HBs คือภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ถ้ามีภูมิคุ้นกันแล้วก็สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ อาจมาจากการติดเชื้อแล้วร่างกายกำจัดเชื้อได้และสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง หรือมาจากการฉีดวัคซีน
  • Anti-HBc คือโปรตีนที่ตอบสนองต่อแกนของไวรัสตับอักเสบบี สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ได้รับเชื้อครั้งแรกและจะคงอยู่ตลอดไป บ่งบอกว่าเคยได้รับเชื้อหรือไม่?
  • การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ (Liver function test : LFT) เพื่อดูว่าตับมีการทำงานผิดปกติหรือมีการอักเสบหรือไม่?
  • การตรวจเลือดหาค่าแอลฟาฟีโตโปรตีน (Alpha Fetoprotein : AFP) ซึ่งเป็นการตรวจหามะเร็งตับ
  • การอัลตราซาวน์และการตรวจชิ้นเนื้อตับ เพื่อดูว่าตับมีการอักเสบ มีพังผืด เกิดภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่?

ป้องกันอย่างไร?

  • กรณีที่ไม่มีการติดเชื้อ ไม่มีภูมิคุ้มกันและไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ควรได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยการใช้ถุงยางอนามัย
  • ระมัดระวังเมื่อต้องใช้เครื่องมือหรือของมีคมร่วมกัน รวมถึงการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากผู้อื่น

ทำอย่างไรดี? ถ้าเราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่า กว่า 90 % ผู้ป่วยสามารถหายได้เองภายในระยะเวลา 10 สัปดาห์ ดังนั้นไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป เพราะความเครียดจะทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอและกำจัดเชื้อได้ยากขึ้น

  • ตรวจเลือดหาเชื้อและภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกๆ 3-6 เดือน กรณียังพบเชื้อหลังผ่านไปแล้ว 6 เดือนเรียกว่า ติดเชื้อเรื้อรัง
  • ตรวจเลือดดูการทำงานของตับทุกๆ 3-6 เดือน เพื่อดูว่ามีการอักเสบหรือความผิดปกติต่อตับหรือไม่?
  • ตรวจเลือดหาค่า AFP ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อดูความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ
  • ตรวจเลือดเพื่อหาไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นๆ ที่อาจแทรกซ้อนได้
  • กรณีที่มีการติดเชื้อเรื้อรังหรือมีความผิดปกติของตับอย่างชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสหรือยากระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อและลดอาการบาดเจ็บหรืออักเสบของตับ ซึ่งต้องอยู่ในความดูแพทย์เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
  • ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ตับต้องทำงานหนักมากขึ้น เช่น หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง รสจัดและของหมักดอง การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ การกินยาหรือสมุนไพรบางชนิดที่ส่งผลกับตับอย่างไม่จำเป็น
  • ควรป้องกันการแพร่เชื้อจากตนเองสู่ผู้อื่น และแนะนำให้คนใกล้ชิดตรวจเลือดดูว่ามีการติดเชื้อหรือมีภูมิคุ้มกันหรือไม่? เพื่อพิจารณาการได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • ควรรับทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเปล่าและพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน เมื่อร่างกายแข็งแรงก็จะสามารถกำจัดเชื้อได้ง่ายขึ้น

ผมเป็นไวรัสชนิดที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลาย ๆ คนคิด แต่ก็ไม่ควรประมาทหรือละเลยที่จะดูแลตัวเอง ผู้ป่วยหลายคนมักวิตกกังวลเกินไปจนทำให้เกิดความเครียดและร่างกายอ่อนแอ การดูแลตนเองและตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เราสามารถรับมือกับไวรัสชนิดนี้ได้ไม่ยาก สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึงคือ หลายครั้งที่ผู้ป่วยไม่รู้ว่าตนเองได้รับเชื้อ (อาจเพราะไม่แสดงอาการชัดเจนหรือละเลยที่จะมาตรวจเลือด) จึงไม่ได้ดูแลตนเองให้ดีเท่าที่ควร บางรายกว่าจะรู้ตัวก็แสดงอาการค่อนข้างรุนแรงหรือแย่ที่สุดก็คือกลายเป็นมะเร็งตับไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงควรตรวจเลือดเช็คสุขภาพทั้งการทำงานของตับ การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ และอื่นๆ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกๆ ท่านรู้จักกับผม “ไวรัสตับอักเสบบี” มากขึ้นนะคร้าบบบ

ติดต่อสอบถาม หรือ นัดหมายได้ที่

มหาชัย ทีแอลซี สาขา มหาชัย
เฮลท์แลป สาขา อ่อนนุช
เฮลท์แลป สาขา หัวหิน
นุชรัตน์เฮลท์แลป สาขา หัวนา

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความยอดนิยม

มหาชัย ทีแอลซี สาขา มหาชัย
เฮลท์แลป สาขา อ่อนนุช
เฮลท์แลป สาขา หัวหิน
นุชรัตน์เฮลท์แลป สาขา หัวนา
เลือกช่องทางนัดหมาย
MAHACHAI TLC MAHACHAI BRANCH
HEALTH LAB HUA HIN BRANCH
NUTRAT HEALTH LAB (HUA NA – SOI 112)
Appointment
HEALTH LAB ON NUT BRANCH

You cannot copy content of this page