เอชไอวี (HIV) และ เอดส์ (AIDS) มีความแตกต่างกันอย่างไร?
ก่อนที่เราจะทำความรู้จักกับ ยาต้านไวรัส เอชไอวี ประเภทต่าง ๆ เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเชื้อกันก่อนค่ะ เนื่องจากหลาย ๆ คนมักมีความเชื่อฝังใจว่า เมื่อมีเชื้อ HIV คือ เป็นเอดส์ แท้จริงแล้ว HIV กับ AIDS ต่างกันอย่างไร
เอชไอวี (HIV) คืออะไร?
เอชไอวี (HIV) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus ซึ่งเป็นไวรัสไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำลายเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น เชื้อเอชไอวีจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันให้ลดลงเรื่อย ๆ แต่การลดลงของระบบภูมิคุ้มกันจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อ และความแข็งแรงของภูมิคุ้มกันโรคของผู้ติดเชื้อ ซึ่งระยะนี้จะอยู่ประมาณ 5- 10 ปี
เอดส์ (AIDS) คืออะไร?
เอดส์ (AIDS) คือ คนที่ติดเชื้อเอชไอวีในระยะท้าย ระบบภูมิคุ้มกัน และเม็ดเลือดขาวถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานโรค ถ้าตรวจระดับ CD4 จะพบว่ามักมีจำนวนต่ำกว่า 200 ร่างกายจึงมีโรคแทรกซ้อน หรือโรคฉวยโอกาสได้ง่าย (เชื้อฉวยโอกาสคือ เชื้อโรคทั่วไป ไม่สามารถทำร้ายคนปกติ ภูมิคุ้มกันแข็งแรงได้ แต่พบว่าทำให้ผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ติดเชื้อ HIV แล้วไม่ทำการรักษา-กินยา หรือผู้ที่เป็นโรคกลุ่มภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง เช่น SLE ติดเชื้อได้) ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายเกือบทั้งหมด จนร่างกายไม่สามารถขจัดเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ เราสามารถอธิบายความแตกต่างของเอชไอวีกับโรคเอดส์ได้จาก ระยะอาการและความผิดปกติได้ 3 ระยะดังนี้
ระยะที่ 1 : ระยะที่ติดเชื้อไวรัสใหม่ ๆ เป็นระยะเริ่มต้นที่ผู้ได้รับเชื้อจะมีอาการป่วยเบื้องต้น และเป็นอาการที่ไม่รุนแรงสามารถหายได้ภายใน 2 – 4 สัปดาห์ เช่น อาการเจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มี ไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเล็กน้อย ถ่ายอุจจาระเหลว แต่ก็เป็นระยะที่ไวรัสเริ่มแพร่กระจาย
ระยะที่ 2 : ระยะปรากฏอาการ คนไข้บางรายอาจจะมีอาการเจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต เกิดฝ้าขาวในช่องปากและในลำคอ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว มีแผลเริมเริ่มลุกลาม เป็นต้น หากมาตรวจในระยะนี้แน่นอนว่าเราสามารถพบเชื้อได้ แต่ในปัจจุบันผู้ติดเอชไอวีในระยะนี้ส่วนใหญ่จะได้รับยาต้านไวรัส ทำให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตอยู่ในระยะนี้ได้ยาวนาน
ระยะที่ 3 : ระยะเอดส์ เป็นระยะที่ปริมาณของ CD4 จะต่ำมาก ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อไมโครลิตร ทำให้มีการติดเชื้อฉวยโอกาส ในอวัยวะสำคัญอย่างรุนแรง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายเกือบทั้งหมด จนร่างกายไม่สามารถขจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ และจะมีอาการ เช่น วัณโรค เชื้อราขึ้นสมอง ต่อมน้ำเหลืองกระจายทั่วร่างกาย ปอดอักเสบ
แนวทางการป้องกันการติดเชื้อ เอชไอวี
หากเราไม่อยากให้เกิดโรค ดังนั้นสิ่งแรกที่เราควรทำคือป้องกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันไม่ให้เรารับเชื้อ หรือป้องกันไม่ให้เชื้อจากเราไปแพร่สู่คนอื่น
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ใช้ยา PrEP หรือยา PEP ป้องกันการติดเชื้อ
- งดการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น กรณีนี้มักพบในผู้ที่เสพยาเสพติดด้วย การฉีดยาเสพติดเข้าเส้น
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ควรตรวจร่างกายเป็นประจำ หรือตรวจเลือดก่อนการแต่งงาน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นจะต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป เอชไอวีเป็นเชื้อไวรัส ส่วนเอดส์เป็นภาวะที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งเป็นหลังจากที่ร่างกายถูกทำร้ายจากไวรัส HIV อีกทีหนึ่ง เราอาจสรุปได้ว่า ระยะที่ 1 และ 2 ของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ยังไม่เรียกว่าเป็นโรคเอดส์ หากตรวจพบว่าติดเชื้อได้เร็วผ่านการตรวจเลือด สามารถรักษาได้ด้วยการทานยาต้านไวรัสค่ะ และครั้งหน้าแอดมินจะพาไปทำความรู้จักกับยาต้านไวรัสเอชไอวี ประเภทต่าง ๆ กันค่ะ