ยาต้านไวรัสเอชไอวี คืออะไร?
หลังจากที่ทำความเข้าใจระหว่าง เชื้อ HIV กับ โรคเอดส์ ไปแล้ว วันนี้มาทำความรู้จัก ยาต้านไวรัสเอชไอวี กันค่ะ แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มียาตัวไหนที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมียาที่สามารถใช้ทานเพื่อป้องกันการติดเอชไอวีและลดการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ ที่เราเรียกว่า “ยาต้านไวรัสเอชไอวี” ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี
ประเภทของ ยาต้านเอชไอวี
ยาต้านเอชไอวี หรือที่เรียกว่า ยา Antiretroviral (ARV) นั้น ถูกแบ่งได้ตามกลไกการทำงาน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) มีกลไกลการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Reverse transcriptase ที่จะเปลี่ยน RNA ของเชื้อไวรัสเป็น DNA เพื่อใช้ในการเข้าสู่ host cell ซึ่งส่งผลทำให้การเชื่อมต่อสารพันธุกรรมของเชื้อหยุดลง เชื้อไวรัสจึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้ ยาในกลุ่มนี้ เช่น Tenofovir disoproxil fumarate (TDF), Emtricitabine (FTC) เป็นต้น
- Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitor (NNRTIs) กลไกของยากลุ่มนี้จะยับยั้งการทำงานของ Reverse transcriptase เช่นเดียวกับยากลุ่ม NRTIs เช่น Efavirenz (EFV), Rilpivirine (RVP)
- Integrase inhibitor strand transfer inhibitor (INSTs) ยับยั้งกระบวนการ integration โดยในยากลุ่มนี้จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ integrase ของเชื้อที่ใช้ในการเชื่อมสาย DNA ของตัวเชื้อเข้ากับ host cell ยาในกลุ่มนี้ เช่น Dolutegravir (DTG), Bictegravir (BIC)
- Protease Inhibitors (PIs) รบกวนการทำงานของ Protease ซึ่งทำให้เชื้อไม่สามารถรวมโปรตีนเพื่อสร้างเซลล์ใหม่ได้ ยาในกลุ่มนี้เช่น Lopinavir+Ritonavir (LPV/r)
ยาในกลุ่ม ต้านไวรัส นี้สามารถแยกได้เป็น 2 ประเภท
1. Pre-exposure prophylaxis (PrEP) คือ ยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อ พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าคุณรู้ว่าคุณกำลังจะไปมีความเสี่ยง เช่น จะไปมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ติดเชื้อ HIV หรือแม้แต่กระทั่งคนที่ทำงานกับผู้คน กลุ่มคนที่มีความเสี่ยง รวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์เองก็ตาม ควรรับประทาน PrEP ก่อนที่จะเสี่ยงอย่างน้อย 7 วัน (ขึ้นอยู่กับชนิด) และกินยาเวลาเดียวกันต่อเนื่องในขณะที่มีความเสี่ยงยังมีความเสี่ยงอยู่ ก่อนรับยาต้องใช้ผลตรวจดังต่อไปนี้ Anti-HIV ไวรัสตับอักเสบบี และการทำงานของไต อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะใช้ยา PrEP แล้วก็ตามการใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยก็จะเป็นการ double protection ได้ค่ะ
2. Post exposure prophylaxis (PEP) ยาต้านฉุกเฉิน หรือยาต้านเอชไอวี ผู้ที่จะใช้ยากลุ่มนี้คือ ผู้ที่มีความเสี่ยงมาแล้ว เช่น มีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อมา บุคลากรทางการแพทย์ที่โดนเข็มตำมา โดยยาที่ใช้ในกลุ่มนี้เป็นประเภท NRTIs, NNRTIs, NSTs และ PIs ขึ้นกับแพทย์จะพิจารณา ยากลุ่มนี้จะมีเงื่อนไขที่มากกว่าและรัดกุมกว่าการรับยา PrEP โดยยา PEP ต้องรับภายใน 72 ชม. หลังจากได้รับความเสี่ยงเท่านั้น ถ้าเวลาเกินไปมากกว่า 72 ชม. การใช้ยา PEP จะแทบไม่เกิดประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผู้รับยาต้องมีการตรวจเลือดดังต่อไปนี้ก่อนการรับยา: Anti-HIV, ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิลิส ค่าการทำงานของไต และค่าเอนไซม์ตับ โดยยา PEP จะต้องทานทั้งสิ้น 28 วัน
สิ่งหนึ่งที่อาจจะพบเมื่อใช้ยากลุ่มต้านไวรัส คืออาการข้างเคียงของ ซึ่งพบได้บ้างในบางราย เช่น รู้สึก อ่อนเพลีย คลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ แต่อาการเหล่านี้จะสามารถหายไปได้เองประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากที่เริ่มรับประทาน และหากรับประทานยาต้านไวรัสเป็นเวลา 6 เดือน ขึ้นไปแพทย์แนะนำให้ตรวจค่าการทำงานของตับ และการทำงานของไต เนื่องจากยาต้านไวรัสส่งผลต่อการทำงานของตับและไต และสำหรับผู้ที่ติดเชื้อควรได้รับการตรวจดูปริมาณของเชื้อเอชไอวี (HIV Viral load) และเม็ดเลือดขาวชนิด CD 4 ค่ะ
ถึงเราจะทราบถึงคุณสมบัติของยาต้านไวรัสว่าดีแค่ไหน วิธีการใช้ยาต้านไวรัสให้มีประสิทธิภาพสูงสุดแล้วก็ตาม แต่แอดมินว่า การไม่ติดเชื้อ การป้องกันการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ไม่อยู่ในความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ คงจะดีกว่าติดเชื้อแล้วต้องกินยาต้านไวรัสนะคะ เพราะอย่างที่ทราบกันว่า ยังไม่มียาตัวไหนที่รักษาโรคเอดส์ หรือยาที่ฆ่าเชื้อ HIV ได้ตายสนิท หายขาดจากการติดเชื้อได้จริง ๆ จึงอยากให้ทุกคนดูแลสุขภาพ ทั้งเพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรักทุกคนนะคะ